การเดินทางรอบคาวากุชิโกะ

ประเทศญี่ปุ่น เมื่อพูดถึงแล้วสิ่งแรกที่เรานึกถึงนั้นคงจะเป็นอาหารเพราะอาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและความอร่อยที่โดดเด่นไม่แพ้ประเทศอื่นๆเลย และนอกจากอาหารแล้วญี่ปุ่นก็เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมไว้อย่างดี

ทำให้บ้านเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนั้นก็มีความน่าสนใจอย่ามากเช่นกัน และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทางธรรมชาติญี่ปุ่นก็มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามยากจะหาประเทศอื่นๆมาเปรียบได้ จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่จะต้องมาสัมผัสประเทศญี่ปุ่นสักครั้ง

และสถานที่ที่น่าสนใจในประเทศญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวก็คือฟูเขาไฟฟูจินั่นเอง โดยภูเขาไฟฟูจินั้นตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบคะวิงุชิในจังหวัดคาวากุชิโกะ ภูเขาไฟฟูจินั้นเป็นภูเขาไฟที่มีการระเบิดและปะทุแต่ปัจจุบันได้มอดดับลงแล้ว

เนื่องจากเป็นภูเขาไฟที่อยู่บริเวณทะเลสาบทำให้มีความสวยงามอย่างมากและจะมีความสวยงามที่สุดในช่วงฤดูหนาวเพราะจะมีหิมะปกคลุมเป็นสีขาวโพนอยู่บนยอดด้านบนนั่นเอง และนอกจากฟูจิคาวากุชิโกะนั้นจะเป็นจุดที่สามารถเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้ชัดเจนและสวยงามที่สุด บริเวณรอบๆก็ยังมีสถานที่เที่ยวที่สวยงามอีกมากมาย

โดยการเดินทางรอบบริเวณคาวากุชิโกะนั้นจะมีบริการ Sightseeing Bus จะมีการแบ่งออกเป็น Redline Greenline Blueline จะเป็นรถบัสที่วนรอบคาวากุชิโกะทั้งหมด

โดยปกติแล้วการนั่งรถบัสไปยังที่ต่างๆนั้นจะต้องเริ่มจาก Kawaguchiko Station โดยเมื่อเดินออกมาจากสถานีรถไฟก็จะเจอจุดรอรถบัสเลยและสามารถซื้อตั๋วได้ภายในสถานีรถไฟเลยและจะมีแผนที่ให้มาด้วย ในแผนที่ก็จะบอกรายละเอียดทั้งสายรถ เวลาเดินรถ และสถานที่ต่างๆไว้อย่างละเอียด ไม่ต้องกลัวหลงเลย โดยราคาตั๋วนั้นก็จะมีหลายราคาตามจำนวนวันนั่นเอง

โดยปกติแล้วส่วนใหญ่คนที่มาเที่ยวก็จะนิยมซื้อแบบสองวันเพราะราคาจะคุ้มกว่า โดยราคาสองวันนั้นจะอยู่ที่ 1,500 เยนและจะต้องใช้ทันทีในวันที่ซื้อไม่สามารถเก็บไว้ได้นั่นเอง โดยสามารถใช้ขึ้นรถบัสได้ทุกสาย โดยไม่จำกัดรอบหรือเที่ยว สามารถขึ้นกี่รอบก้ได้ในระยะเวลาสองวันคุ้มมากๆ โดยรสบัสสาย Redline นั้นจะวิ่งไปทางด้านบนและทางด้านขวาข้างล่างของทะเลสาบนั่นเองจะมีรอบรถเยอะมาก Greenline จะวิ่งในระยะทางที่ไกลทางด้านบนสามารถไปยังทะเลสาบอื่นๆ

ได้ด้วย และ Blueline จะวิ่งไปทางด้านล่างของทะเลสาบนั่นเอง การเดินทางรอบๆคาวากุชิโกะนั้นสามารถเดินทางด้วยรถบัสทั้งหมดได้นั่นเอง แต่หากอยากได้ความสะดวกสบายที่มากกว่าที่นี่ก็มีบริการรถเช่าด้วยแต่แนะนำว่าหากต้องการเช่ารถนั้นควรเช่าออนไลน์ล่วงหน้าเพราะหากไปเช่าเมื่อถึงที่โน่นนั้นราคาแพงมากๆเลยทีเดียว

7 ที่เที่ยวบรรยากาศธรรมชาติเมืองจันทร์

จังหวัดจันทบุรีเป็นจังหวัดเล็ก ๆจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยที่ห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติมากมาย นักท่องเที่ยวที่รักการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จึงพลาดไม่ได้ที่จะมาสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติที่จังหวัดจันทบุรี

  1. จุดชมวิวเนินนางพญา คุ้งวิมาน เป็นจุดชมวิวที่มีทัศนียภาพที่สวยงามของจังหวัดจันทบุรี นักท่องเที่ยวที่อยากชมพระอาทิตย์ตกดินลับหายไปในท้องทะเล จึงพลาดไม่ได้เลยที่จะมาชมวิวที่เนินนางพญาแห่งนี้ และที่จุดชมวิวนี้มักจะมีคู่รักนำแม่กุญแจมาคล้องไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยความเชื่อว่าหากคู่รักที่มาที่จุดชมวิวเนินนางพญาแห่งนี้ แล้วได้คล้องกุญแจด้วยกัน จะมีความรักที่ยืนยาวรักกันตลอดไปเหมือนกับแม่กุญแจ 
  2. ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน เป็นโครงการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการศึกษา และการพัฒนาด้านการประมง และกิจกรรมต่าง ๆ จึงเป็นสถานที่ ๆเหมาะกับผู้ที่ต้องการมาท่องเที่ยวเพื่อศึกษาหาความรู้เชิงอนุรักษ์
  3. น้ำตกพลิ้ว เป็นน้ำตกที่อยู่คู่กับความทรงจำของคนไทย เพราะเป็นสถานที่ ๆพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จมามากถึง 12 ครั้ง บริเวณโดยรอบห้อมล้อมไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย น้ำตกพลิ้วมีทั้งหมด 3 ชั้น น้ำมีสีเขียวเหมือนกับมรกต และมีฝูงปลาพลวงหินแหวกว่ายอยู่มากมาย ให้ความเป็นธรรมชาติสุด ๆ
  4. Viva Foresta Farm เป็นฟาร์มสัตว์แห่งแรกของจังหวัดจันทบุรี มีสัตว์นานาชนิดมากมาย บรรยากาศล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง และสวนดอกไม้ที่บานสะพรั่งดูสบายตา และยังเป็นสวนสัตว์ที่เปิดให้เข้าไปให้อาหาร และสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ได้อีกด้วย เป็นธรรมชาติสุด ๆไปเลย
  5. ชุมชนริมน้ำจันทบูร เป็นชุมชนเก่าแก่ที่อยู่คู่กับจังหวัดจันทบุรีมานานกว่า 300 ปี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ บ้านเรือนโดยส่วนใหญ่ในละแวกนี้ยังคงเป็นบ้านแบบเก่าให้ความรู้สึกถึงวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยอดีต เหมาะกับการไปถ่ายรูปกับบรรยากาศธรรมชาติที่สุดแสนจะคลาสสิคอีกด้วย 
  6. ทะเลแหวกจันทร์ หรือทะเลแหวกบางชัน เป็นทะเลที่มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เกิดน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งเกิดจากการที่เปลือกหอยทับถมกันบนสันทรายจนเกิดความยาวออกไปจนถึงกลางทะเลประมาณ 700 เมตร และทะเลที่นี่ก็มีพื้นทรายเป็นสีดำ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติอีกด้วย นักท่องเที่ยวที่ต้องการศึกษาธรรมชาติจึงไม่ควรพลาดที่จะมาชมทะเลแห่งนี้
  7. เขาคิชกูฏ เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่อยู่บนภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศไทยโดยเปิดให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่มีจิตศรัทธาเข้าเยี่ยมชม สักการะ บูชาเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น 

ที่เที่ยวน่าไปที่จังหวัดสระบุรี

     เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องทำงานกันหนักและเชื่อว่าหลายคนคงไม่ค่อยที่จะมีเวลาไว้พักไว้เที่ยว สันนี้เราจะมาแนะนำที่เที่ยวใกล้กรุงเทพที่จังหวัดสระบุรี ไปเช้าเย็นกลับไม่ต้องเสียงเงินเยอะด้วย 1000 เดียวก็เที่ยวได้ 

  1. สวนพฤกษศาสตร์พุแค ที่นี้จะมีพวกต้นไม้เอาไว้ตกแต่งบ้าน พวกต้นไม้สวยสวยต้นไม้มงคลที่นี้จะมีเยอะมากแต่เขาไม้ได้มีไว้เพื่อที่จะขายแต่มีไว้ให้คนได้ศึกษาเกี่ยวกับต้นไม้ชนิดต่างต่างและที่นี้อากาศไม่ร้อนมากเลยทำให้มีคนเข้ามาเที่ยวที่นี้ก็เยอะพอสมควรอยู่ ซึ้งที่นี้ในทุกทุกวันเสาร์จะมีกิจกรรมพิเศษซึ้งกิจกรรมนี้เรียกว่า ตลาดในสวน ชิมเพลิน  เดินไพร ซึ้งกิจกรรมนี้ที่นี้จะมีนักดนตรีมาเล่นเพลงเพราะๆให้เราฟังฟังเพลงไปก็ดูของไปแถมในวันเสาร์ยังมีร้านขายของกินมาเปิดอีกด้วยต้องขอย้ำว่ามีเฉพาะในวันเสาร์เท่านั้นนะคะ 
  2. น้ำตกสามหลั่น ที่นี้ตั้งอยู่ไม่ไกลมากจากที่อุทยานแห่งชาติ ซึ้งตั้งอยู่ห่างรวมๆประมาณ 300 เมตร ซึ้งน้ำตกที่นี้ถือว่าไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ประมาณกลางๆกำลังสวย ซึ้งที่เรียกว่าน้ำตกสามหลั่นเพราะน้ำตกที่นี้มีทั้งหมด  3 ชั้น ซึ้งทุกๆชั้นความสูงก็ประมาณ 2 เมตร ซึ้งเมื่อมองดูรวมๆก็เป็นภาพที่สวยมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะในหน้าฝนจะมีพวกกล้วยไม้ป่าตั้งอยู่ใกล้ๆ ซึ้งถ้าเกิดว่าใครมาในช่วงหน้าฝนไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะไหลแรง เพรำที่นี้น้ำไม่ไหลแรงมากเล่นได้ไม่อันตราย ลองไปดูนะคะ
  3. น้ำตกโกรกอีดก ที่นี้ก็ตั้งอยู่ในบริเวณของอุทยานเขาใหญ่ซึ้งที่นี้น้ำไหลแรงมากน้ำตกที่นี้จะมีทั้งหมด 7 ชั้น ซึ้งความสูงของที่นี้มีมากถึง 350 เมตรเลยทีเดียว เวลาน้ำไหลลงกระทบที่ก้อนหินในแต่ละชั้นจะมีเสียงดังก้องกังวาน ซึ้งในบริเวณรอบๆต้นไม้ใหญ่ๆขึ้นอยู่เต็มไปหมด ทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศธรรมชาติๆ แนะนำไม่ให้ลงเล่นเพราะน้ำไหลแรงอยู่แนะนำให้ดูความงามของน้ำตกอย่างเดี๋ยวคุณสามารถเอาเสื่อมาปูนั่งเล่นดูน้ำตกสบายๆก็ได้ ใครสนใจก็ลองไปดูนะคะ

ทั้งสามแห่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่น่าใจไปเที่ยวเป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งสามแห่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย ใช้เวลาเดินทางไม่นาน สามารถไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้อย่างสบายโดยที่ไม่ต้องขับรถแบบเร่งรีบมากนัก ขากลับก็แวะซื้อขนมกระหรี่พับ ขนมดังของเมืองสระบุรี

ซึ่งตอนนี้มีหลายไส้มาก ที่สำคัญมีไส้ปูอัดหิมะ และไส้ยำสาหร่ายด้วย อร่อยมากมาก เหมาะกับการซื้อเป็นของฝากอย่างยิ่ง

น้ำตกชื่อดังของจังหวัดสระบุรี น้ำตกเจ็ดสาวน้อย

น้ำตกเจ็ดสาวน้อยเป็นน้ำตกที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติจังหวัดสระบุรี

ที่นี่จะมีน้ำตกทั้งหมดจำนวนเจ็ดชั้นแต่ละชั้นมีขนาดที่ไม่สูงมากนักส่วนใหญ่จะสูงประมาณ 2-5 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวได้ทุกชั้นตั้งแต่ชั้นที่1 ไปจนถึงชั้นที่ 7 และตลอดทางก็จะมีป้ายปักเตือนจากเจ้าหน้าที่รักษาอุทยาน เช่น ทางลื่นให้ระวัง หรือจุดนี้ห้ามกระโดดเล่นน้ำ  หรือแม้แต่ข้างหน้ามีโขดหิน ซึ่งหากนักท่องเที่ยวทำตามป้ายเตือนก็จะปลอดภัยไม่เกิดอันตรายใดๆ

ซึ่งหากเราจะเดินสำรวจน้ำตกแต่ละชั้นทางเจ้าหน้าที่ก็เตรียมทางเดินที่เทปูนเอาไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้เดินสำรวจตั้งแต่ชั้น 1 จนถึงชั้น 5 ส่วนที่ชั้น 6กับชั้น 7 ทางเดินจะยังเป็นทางดินธรรมดา ยังไม่เทปูน สำหรับน้ำตกเจ็ดสาวน้อยเป็นน้ำตกที่มีต้นน้ำไหลมาจากฝั่งทางป่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นน้ำได้ทุกเกือบทุกชั้นจะมีสั่งห้ามเล่นน้ำเฉพาะที่ชั้นสามเท่านั้นเพราะที่ชั้นนี้น้ำจะลึกมาก

และเคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยจึงมีการห้ามเล่นน้ำ แต่สำหรับที่ชั้นอื่นๆ นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำได้หมด ซึ่งชั้นที่มีความสวยงามมากที่สุดจะอยู่ที่ชั้น 4 เป็นชั้นที่น้ำตกจะไหลตกมาลงจากที่สูง คนจะนิยมเดินขึ้นมาเล่นที่ชั้นนี้กันมาก

ส่วนใครที่อยากได้ความสงบก็สามารถเดินขึ้นไปที่ชั้น 6กับ7 ได้แต่ชั้นนี้ผู้คนจะไม่ค่อยลงเล่นน้ำเพราะน้ำจะค่อนข้างไหลแรง สำหรับน้ำตกเจ็ดสาวน้อยทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้เป็นคนเข้ามาค้นพบ เนื่องจากมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาสำรวจป่าแล้วมาเจอกับน้ำตกที่มีความสวยงามจำนวนทั้งหมด 7 ชั้น

ซึ่งน้ำตกนี้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่มีชื่อว่าบ้านสาวน้อย ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้จึงทำการตั้งชื่อน้ำตกนี้ว่าน้ำตกเจ็ดสาวน้อย

ซึ่งเป็นการตั้งตามชื่อของหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับน้ำตกแล้วเอามารวมกับจำนวนของชั้นน้ำตกทั้งหมดนั่นเอง สำหรับที่น้ำตกเจ็ดสาวน้อยนี้จะมีพื้นที่โดยรอบเป็นป่าซึ่งจะมีทั้งต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีทั้งต้นไม้ที่คนนำมาปลูกเพื่อเป็นการปลูกป่าเพื่อทดแทนจากที่มีคนเคยเข้ามาตัดไม้ทำลายป่าไป

ซึ่งพื้นที่บางส่วนในเขตของน้ำตกเจ็ดสาวน้อยอยู่ในโครงการปลูกป่าถาวร ที่เป็นโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่  9 เมือครั้งที่ขึ้นครองราชย์ครบ 50 ปีด้วย และหากใครที่ไปเที่ยวน้ำตกเจ็ดสาวน้อยก็อย่าลืมไปเที่ยวจุดชมวิวตรงสะพานแขวนข้ามน้ำตกกันด้วยนะคะเพราะเป็นจุดที่จะสามารถเห็นความสวยงามของน้ำตกที่ชั้น 1-4 ได้อย่างชัดเจน